ค่าปากถุงคือ
ค่าปากถุงคือ ค่าปากถุง เงินปากถุง หรือเรียกด้วยภาษาราชการว่า ค่าธรรมเนียมการกู้เงิน ค่าจัดการเงินกู้ ค่านายหน้า เงินกินเปล่า ถ้าในภาษาต่างประเทศหรื อภาษาทางราชการหรือภาษาของสถาบั นการเงิน อาจใช้คำว่า “ค่าธรรมเนียมการให้กู้ยืม (Front End Fee)” ส่วนในภาษาชาวบ้านอาจเรียกกึ่ งประชดว่า เงินกินเปล่าของเจ้าหนี้ หรือนายทุน หรือ เงินที่แบ่งให้ค่านายหน้านั่นเอง เงินปากถุงนั้นจะเรียกใช้กั นในวงการเงินกู้เป็นส่วนใหญ่ ผู้เป็นลูกหนี้ทั้งกับเจ้าหนี้ ธรรมดาหรือสถาบันการเงินจักเข้ าใจแจ่มชัดเพราะเงินปากถุงจะใช้ บังคับทุกครั้งที่เกิดการกู้ยื มเงิน โดยหักจากเงินกู้ไปตั้งแต่ครั้ งแรก นั่นหมายความว่า ลูกหนี้จะไม่ได้รับเงินเต็ มจำนวนเพราะต้องถูกหักเงินปากถุ งหรือค่าธรรมเนียมการกู้ไว้ก่อนแล้ว
อัตราการคิดเงินปากถุงนั้นไม่มี กำหนดตายตัว เจ้าหนี้บุคคลธรรมดาอาจคิดร้ อยละ 5-10จากจำนวนเงินกู้ ส่วนสถาบันการเงินก็มีอั ตราตามที่เขากำหนดเองเนื่ องจากธนาคารชาติไม่มี มาตรการกำหนดเงินจำนวนนี้จึงเป็ นความเห็นอิสระของแต่ละสถาบั นการเงินโดยมักขึ้นอยู่กั บความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่ อและความน่าเชื่อถือของลูกหนี้ หากพิจารณาให้ลึกซึ้งจักสั งเกตผลประโยชน์ที่เจ้าหนี้ได้รั บจากการปล่อยกู้ คือ ดอกเบี้ยจากจำนวนเงินกู้เต็ม เงินปากถุงซึ่งหักจากยอดเงินกู้ ทันทีในครั้งแรกที่รับเงินกู้ การชำระเงินต้นเมื่ อครบกำหนดในสัญญากู้ ขณะที่ลูกหนี้จะได้รับเงินสุทธิ หลังจากหักเงินปากถุงหรือค่ าธรรมเนียมเงินกู้แล้ว แต่เจ้าหนี้คิดดอกเบี้ ยจากยอดเงินกู้เต็ม มิใช่เงินสุทธิหลังหักเงินปากถุ งหรือเงินที่ได้รับแท้จริง ลูกหนี้จึงต้องรับภาระหนี้ที่ ตนไม่ได้ก่อไปด้วยเพราะไม่ได้รั บเงินส่วนนั้น แต่ต้องใช้หนี้ต้นเงินจำนวนเต็ มรวมกับดอกเบี้ยเพื่อจ่ายคืนเจ้ าหนี้
การคิดเงินปากถุงหรือค่าธรรมเนี ยมการกู้เงิน นั้นมิได้ใช้ เฉพาะการกู้เงินระดับชาวบ้านหรื อกิจการทั่วไปเท่านั้น แต่การกู้ยืมเงินจากสถาบั นการเงินต่ างประเทศในนามของประเทศก็มี การคิดเงินเหล่านี้รวมไปด้ วยและใช้วิธีปฏิบัติเดียวกัน โดยอาจเรียกชื่อแตกต่างในภาษาต่ างชาติว่า เงินฟรอนท์ ก็ได้ เมื่อมีข้อตกลงเงื่อนไขการกู้ เงินระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ แล้ว ในวันรับเงินกู้นั้นเจ้าหนี้ จะหักเงินปากถุงไว้ตามระเบียบที่ เจ้าหนี้กำหนด ลูกหนี้จึงรับเงินส่วนที่เหลื อจากการหักนั้นไปใช้สอยได้ แต่คิดดอกเบี้ยจากยอดเงินกู้เต็ มตามสัญญาแม้จะรับเงินไม่เต็ มจำนวนก็ตาม ความแตกต่างระหว่างเงินปากถุ งของเจ้าหนี้ทั่วไปกับสถาบั นการเงินในต่างประเทศนั้น คือ กรณีเจ้าหนี้ทั่วไปซึ่งมีลูกหนี้ ระดับชาวบ้านนั้น เงินปากถุงจะเป็นผลประโยชน์ เฉพาะเจ้าหนี้เท่านั้น ส่วนลูกหนี้ระดับประเทศนั้นเงิ นปากถุงจักนำไปแบ่งจ่ายให้แก่ผู้ แทนประเทศที่ลงนามในสัญญากู้ด้ วย มิได้เป็นผลประโยชน์เฉพาะของเจ้ าหนี้เท่านั้น เนื่องจากการกู้เงินระดั บประเทศโดยลูกหนี้คือประเทศนั้ นและมีรัฐบาลเป็นตัวแทน แผ่นดินเป็นสิ่งของค้ำประกั นทำให้ถือเป็นลูกหนี้น่าไว้ วางใจสูง รัฐบาลนั้นมีสิทธิเลือกเจ้าหนี้ ได้ เงินปากถุงจึงเป็นค่าน้ำใจที่ เจ้าหนี้ตอบแทนตัวแทนลูกหนี้ซึ่ งคือ รัฐบาลลูกหนี้ ส่วนอัตราเงินปากถุงนั้นแล้วแต่ เจ้าหนี้กับรัฐบาลลูกหนี้ จะตกลงกัน โดยเงินส่วนนี้มิถือเป็นรายได้ ของประเทศ แต่เป็นประโยชน์ส่วนตัวของนั กการเมืองฝ่ายรัฐบาล การกู้เงินแต่ละครั้งของรั ฐบาลในนามตัวแทนของประเทศมีมู ลค่านับล้านล้านดอลลาร์ จึงเป็นที่รู้กันดีในสังคมไทยว่ า นักการเมืองย่อมได้รั บผลตอบแทนจำนวนสูงมากทุกครั้งที่ มีการเซ็นสัญญากู้เงินกับสถาบั นการเงินต่างประเทศเมื่อเทียบกั บการกู้เงินจากสถาบันการเงิ นในประเทศซึ่งคิดเป็นเงินบาทแล้ วมูลค่าน้อยกว่าดอลลาร์อย่างแน่ นอน อีกทั้งยังเป็นผลประโยชน์ที่แบ่ งปันกันเป็นส่วนตัวและสอบสวนค่ อนข้างยากเพราะเป็นการหั กในนามค่าธรรมเนียมเงินกู้ โดยเจ้าหนี้ แต่จ่ายกันเป็นการส่วนตัวตามข้ อตกลงของแต่ละคน ดังนั้น ทุกครั้งที่มีการกู้เงินระหว่ างประเทศนักการเมืองที่เกี่ยวข้ องกับสัญญากู้เงินจะมีความเปลี่ ยนแปลงในฐานะการเงินอย่างผิ ดตาเสมอ เนื่องจากรัฐบาลเป็นผู้กู้เงิ นและนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลเป็ นผู้ได้รับประโยชน์นอกสัญญากู้ กับความร่วมมือของเจ้าหนี้ จึงปกปิดความผิดได้ง่ายและพ้ นสายตาของประชาชนได้
เมื่อมองไปยังรัฐบาลล่าสุดจักสั งเกตเห็นอาการกระตือรือร้นพิ เศษตั้งแต่ยังไม่ได้รับการแต่ งตั้งผู้นำบ้านเมืองอย่างเป็ นทางการตามรัฐธรรมนูญ ข่าวหน้าหนึ่งคือ หัวหน้ารัฐบาลอย่างไม่เป็ นทางการกับทีมงานเรียกประชุ มสถาบันการเงินต่างประเทศเข้ าไปพูดคุยเจรจาการกู้เงินทันที จากนั้นหลังได้รับการแต่งตั้ งเป็นทางการแล้วรัฐบาลก็ ประกาศนโยบายแจกเงินฟรีแก่ผู้มี รายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท แจกเงินคนชราในโครงการพิเศษ โดยอ้างว่าการแจกเงินนี้ มาจากเงินกู้ของสถาบันต่ างประเทศเนื่องจากประเทศไม่มี เงินมากพอและต้องการช่วยเหลือสั งคมไทยให้ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับวงเงินกู้ที่ตั้ งไว้ล้วนมีมูลค่าสูงกว่ าจำนวนเงินที่ใช้แจกคนบางกลุ่ มที่มิได้เดือดร้อนเงิน ขณะที่คนยากจน คนตกงาน คนด้อยโอกาส ส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้รั บแจกเงินช่วยเหลือจากรัฐสั กบาทเดียว เราจึงมองเห็นเหตุผลสำคั ญในการเร่งรัดกู้เงินด้วยสารพั ดวิธีของรัฐบาลนี้ แม้แต่การคิดออกกฎหมายใหม่เพื่ อยกเว้นข้อบัญญัติของรัฐธรรมนู ญในการกู้เงินได้สบายขึ้นโดยไม่ ต้องผ่านการตรวจสอบจากรัฐสภาก็ พยายามเร่งรัดอยู่ในเวลานี้
เราจักสังเกตได้ว่า งานกู้เงินจากสถาบันต่างชาติเป็ นงานหลักและเร่งด่วนของรัฐบาลชุ ดนี้ตั้งแต่เป็นข่าวว่า ได้เป็นรัฐบาล เมื่อเริ่มต้นทำงานก็ไม่มี นโยบายด้านเศรษฐกิจในการทำมาค้ าขายเพื่อส่งสินค้าไทยออกไป แต่เร่งกู้หนี้ยืมสิน เพิ่มภาษีน้ำมันซึ่งทำให้สินค้ าต่างๆเพิ่มราคาโดยอ้างว่าต้นทุ นสูง ทำให้คนไทยเดือดร้อนหนัก แล้วโยนไปว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ราคาสินค้าสูงทั้งที่เกิ ดจากการเพิ่มภาษีของรั ฐในเวลาเดียวกับที่ราคาน้ำมันต่ำ มันเป็นนโยบายสวนทางกับคำพู ดหวานของรัฐบาลที่ตั้งใจสร้ างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่ างชัดเจน เพราะการเพิ่มภาษีทำให้ราคาสิ นค้าสูงขึ้นทันตา แล้วรัฐบาลก็แจกเงินฟรีแก่ คนไทยบางกลุ่ม มันเป็นนโยบายสวนทางกันของรั ฐบาลที่กำลังสร้างความเดือดร้ อนหนักแก่ประชาชน แม้จะได้รับเงินแจกฟรี แต่มูลค่าสินค้าที่สูงขึ้นทำให้ เงินแจกด้อยค่าลงทันตา มันจึงมิได้ช่วยผ่อนคลายความทุ กข์ยากของคนไทยอย่างแท้จริง แต่เป็นของหวานฉาบหน้าชั่วคราว เนื้อในเน่าเฟะจนแตะต้องไม่ได้ เลย
ณ วันนี้รัฐบาลตั้งใจกอบโกยเงิ นปากถุงจากสัญญากู้เงินต่ างๆโดยใช้นโยบายแจกเงินชาวบ้ านเป็นข้ออ้างในการกู้เงิน การเพิ่มเงินภาษีน้ำมัน ภาษีสรรพสามิตต่างๆ เงินค่าทางด่วน ซึ่งเพิ่มภาระหนักแก่คนไทยอย่ างจงใจทั้งที่รู้ว่าเป็นต้นทุ นราคาสินค้า ไม่ยอมเปิดตลาดการค้าขายสินค้ าของไทยเพื่อนำเงินภาษีมาช่ วยคนไทยซึ่งต้องอาศั ยความสามารถของรัฐบาลเท่านั้น มันจึงเป็นความมักง่ายของรั ฐบาลที่ยัดเยียดให้คนไทย ประวัติศาสตร์ของประเทศจีนที่ฮ่ องเต้และบริวารขูดรีดภาษี จากชาวบ้านที่กำลังอยู่ในสภาพทุ กข์เข็ญและต่อสู้เพียงลำพังเพื่ อนำเงินไปบำเรอความสุขส่วนตั วโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้ อนของชาวบ้านและผู้บริหารไร้ ความสามารถในการบริหารบ้านเมือง คือ ต้นเหตุแห่งการปลดปล่อยความทุ กข์ยากของประชาชนที่ไม่ต้ องการถูกบีบคั้นและกำจัดความอยุ ติธรรมที่กระทำต่อชาวบ้านด้ วยพละกำลังของตนเอง มันส่งผลสะเทือนต่ออำนาจของฮ่ องเต้และบริวารอย่างหนักหน่วงด้ วยปริมาณคนทุกข์ยากทั้งประเทศกั บกลุ่มผู้บริหารหยิบมือเดียวที่ ประชาชนเคยยอมอดทนให้กดขี่ จนพวกเขาเคยชินในการบีบคั้นรี ดนาทาเร้นจากชาวบ้านเพื่อหาเงิ นสร้างความสุขส่วนตัว บัดนี้ ประวัติศาสตร์โบราณที่ต้องรี ดเงินภาษีมาจุนเจือให้ผู้บริ หารบ้านเมืองมีเงินจับจ่ายใช้ สอยสบายมืออย่างมักง่ายกำลังเกิ ดขึ้นในเมืองไทยด้วยการปรับรู ปแบบบางอย่าง เช่น เพิ่มเงินภาษีด้วยการขูดรี ดแบบดั้งเดิม การกู้หนี้ยืมเงินโดยใช้ผืนแผ่ นดินของบรรพชนค้ำประกันหนี้กั บเจ้าหนี้ต่างชาติ การออกกฎหมายเพิ่มโทษหมิ่ นประมาทสถาบันเบื้องสูงเพื่อปิ ดปากประชาชนและสามารถใช้สัญลั กษณ์นี้ทำมาหารายได้หรือใช้บี บคั้นชาวบ้านได้ต่อเนื่อง
เงินปากถุงหรือค่าธรรมเนี ยมการกู้เงิน เป็นสุดยอดประโยชน์ จำนวนมหาศาลที่เปลี่ยนชีวิตนั กการเมืองมาหลายยุคสมัยซึ่งเป็ นการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างเจ้ าหนี้กับนักการเมืองผู้เป็นตั วแทนลูกหนี้ซึ่งคือ แผ่นดินไทย โดยราษฎรเป็นผู้ชดใช้หนี้สินทั้ งหมด ถ้าสมมุติตัวเลขเงินปากถุงจากต้ นเงินกู้ 70,000 ล้านบาท ซึ่งต้องเสียเงินปากถุงให้เจ้ าหนี้ 3 เปอร์เซนต์ ย่อมมีมูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านบาท โดยเงินจำนวนนี้ต้องแบ่งจ่ายแก่ นักการเมืองที่เซ็นสัญญากู้เงิ นกับเจ้าหนี้ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลน่าจะได้ หลายร้อยล้านบาทเป็นประโยชน์ส่ วนตัว แต่ดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้ได้รั บจะคิดจากต้นเงินกู้จำนวนเต็มคื อ 70,000 ล้านบาท ทั้งที่ตอนรับเงินกู้สุทธิได้ถู กหักเงินค่าปากถุงไปแล้วจึงมิ ใช่เงินกู้เต็มจำนวน ลูกหนี้ราษฎรเป็นผู้รับเคราะห์ กรรมฝ่ายเดียวเมื่อมีรัฐบาลที่ ไร้ความสามารถบริหารประเทศในวั นนี้
ดังนั้นเมื่อคุณจะกู้เงิน คุณก็ต้องทำใจจ่ายค่าปากถุง รู้ซะตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่ามาหั กคอ บอกทีหลังว่า หักค่าปากถุงหัก,ค่าจัดการเงิ นกู้ เพราะไม่มีที่ไหนไม่เก็บ แม้กระทั่งตัวนายทุนที่ปล่อยเงิ นเอง เพราะ ถือว่าเป็นค่าประกันความเสี่ยง เป็นผลตอบแทน หรือกำไร ไม่ว่าจะกู้แบบไหนมันก็ต้องจ่ ายค่าปากถุงทั้งนั้น แม้กระทั่ง ร้อยละยี่สิบยังหักพันละ 50 บาท เพียงแต่ว่าเขาจะบอกคุณตรงๆหรื อเปล่าเท่านั้นว่าเป็นค่าปากถุ ง,หรือเงินปากถุง,ค่าจัดการเงิ นกู้ ค่าธรรมเนียม หรือค่าดำเนินการ สรุปถ้าจำเป็นจะใช้เงินจริงๆ จำเป็นต้องกู้เงินจริงๆ ก็ต้องจำใจเสียเงินค่าปากถุง อย่าไปคิดว่าทำไมต้องเสีย ถ้าไม่อยากเสีย ก็ไม่ต้องกู้เค้า ไปยืมญาติ หรือคนรู้จักเอา จะได้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยด้วย แต่มันจะเป็นบุญคุณกันหรือเปล่ าอันนี้ต้องคิดเอาเองค่ะ บางทีเรากู้แล้วสบายใจกว่าเป็ นหนี้บุญคุณใคร เพราะถ้าจะกู้ที่ไหนมันก็ต้ องเสียทั้งนั้น แม้แต่ญาติ พี่น้องบางคนเก็บดอกเบี้ยยังมี เลยค่ะ