ยกที่ดินให้แก่ หลวงแล้วทวงคืนได้ไหม
ยกที่ดินให้แก่ หลวงแล้วทวงคืนได้ไหม
กรณีอุทิศหรือยกที่ดินให้แก่ หลวงเพื่อทำประโยชน์ไปแล้วนั้น ผู้ยกให้หรือทายาทของผู้ยกให้จะ สามารถเรียกร้องขอคืนได้หรือไม่
เช่น กรณีเห็นว่าหลวงไม่ได้ใช้ประโยช น์ในที่ดินที่อุทิศให้แล้วหรือเห็นว่าหลวงไม่ได้ใช้ประโยช น์ตามวัตถุประสงค์ของผู้อุทิ ศให้ เป็นต้น
ซึ่งเมื่อได้มีการอุทิศที่ดินให้ แก่หลวงที่ดินดังกล่าวจะถูกขึ้นทะเบียน เป็นที่ราชพัสดุซึ่งมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือ กรรมสิทธิ์แทนรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเ ฉพาะ ตามมาตรา 1304(3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
วันนี้ผมจึงได้นำตัวอย่างคดี กรณีการร้องขอคืนกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ได้มีการอุทิศให้แก่หลวงแ ล้วซึ่งมีทั้งกรณีที่ศาลตัดสินให้คื นได้และกรณีที่ศาลตัดสินว่าไม่สามาร ถให้คืนได้ มาเป็นข้อมูลให้พิจารณากันครับ ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้นำข้อกฎห มายที่เกี่ยวข้องมาวินิจฉัยวางห ลักการในเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว
คดีแรก เป็นกรณีการอุทิศที่ดินให้แก่หล วงแล้วต่อมาหลวงไม่ได้ใช้ประโยช น์โดยปล่อยให้เป็นที่ รกร้างว่างเปล่า กรณีเช่นนี้ผู้ยกให้หรือทายาทขอ งผู้ยกให้จะมีสิทธิขอคืนได้หรื อไม่ มาดูกันครับ…
เรื่องมีว่า…บิดาของนายมากได้ อุทิศที่ดินจำนวน 1 งาน 68 ตารางวาให้แก่กรมอนามัยเพื่อก่อสร้างเป็ นสถานีอนามัยกรมอนามัยจึงได้ดำเนินการสร้างส ถานีอนามัยเพื่อให้บริการประชาช นตามความประสงค์ของผู้ยกให้แต่เนื่องจากต่อมาได้มีประชาชนม าใช้บริการเพิ่มมากขึ้นจนทำให้ เกิดความคับแคบจึงต้องย้ายสถานีอนามัยไปก่อสร้ างในที่แห่งใหม่ที่ดินเดิมจึงถูกปล่อยให้เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าไม่ได้ทำประโ ยชน์มากว่า20 ปี
นายมากจึงยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลังเพื่อขอคื นที่ดินในฐานะทายาทของผู้ยกให้แต่กระทรวงการคลังและกรมธนารักษ์ พิจารณาแล้วไม่คืนที่ดินให้ด้วยเหตุผลว่าที่ดินดังกล่าวมีส ภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเ ฉพาะซึ่งต้องห้ามตามกฎหมายที่ไม่อาจ โอนคืนให้แก่นายมากได้แต่ได้อนุญาตให้นายมากเช่าที่ดิ นแปลงดังกล่าวแทน
นายมากเห็นว่ากรมธนารักษ์มีหน้า ที่ตามกฎหมายที่จะต้องโอนที่ดิน ดังกล่าวคืนแก่ตนจึงนำเรื่องมาฟ้องต่อศาลปกครองว่ ากรมธนารักษ์ละเลยต่อหน้าที่ไม่ดำ เนินการคืนที่ดินซึ่งไม่ได้ใช้ ประโยชน์แล้วให้แก่ตนในฐานะทายา ทของผู้ยกให้
ประเด็นนี้ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า กฎกระทรวงฉบับที่ 11 (พ.ศ.2537)ออกตามความใน พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 ข้อ 8 ได้กำหนดให้การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุคืน ให้แก่ผู้ยกให้หรือทายาทของผู้ย กให้จะกระทำได้ต่อเมื่อ
(1) ที่ราชพัสดุนั้นมิใช่เป็นที่สาธ ารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่ อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ
(2) ทางราชการไม่ประสงค์จะใช้ประโยช น์ในที่ราชพัสดุนั้นตามวัตถุประสงค์ของผู้ยกให้หรือ มิได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ ของผู้ยกให้ภายใน10 ปี นับแต่วันที่ยกที่ดินให้แก่ทางร าชการ
(3)ผู้ยกให้หรือทายาทของผู้ยกให้ยื่นเรื่องราวขอที่ราชพัสดุคืนภายใ น 2 ปีนับแต่วันที่ทางราชการแจ้งความป ระสงค์ที่จะไม่ใช้ประโยชน์หรื อนับแต่วันที่ครบกำหนดระยะเวลาต าม(2)
จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่ า
กรมธนารักษ์อาจคืนที่ดินให้แก่ผู้ ยกให้หรือทายาทของผู้ยกให้ได้โดยมีเงื่อนไขใน (1) ว่าที่ดินราชพัสดุนั้นต้องมิใช่เป็ นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใ ช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉ พาะ ซึ่งย่อมหมายความว่า หากได้มีการถอนสภาพการเป็นที่สา ธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่ อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะแล้ วก็สามารถโอนคืนแก่ผู้ยกให้หรือท ายาทของผู้ยกให้ได้นั่นเอง
ซึ่งในการที่จะถอนสภาพการเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น มาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุฯ ได้กำหนดไว้ว่า ที่ราชพัสดุเฉพาะที่ดินที่เป็นส าธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่ อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะเมื่อเลิกใช้เพื่อประโยชน์เช่นนั้ น หรือเมื่อสิ้นสภาพการเป็นสาธารณ สมบัติของแผ่นดินแล้ว หรือที่ราชพัสดุที่ทางราชการหวง ห้ามไว้และทางราชการไม่ประสงค์ จะหวงห้ามอีกต่อไป ให้ถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติข องแผ่นดิน โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ กรมอนามัยได้ปล่อยที่ดินแปลงพิพ าททิ้งไว้โดยไม่มีสิ่งปลูกสร้างและไม่มีก ารใช้ประโยชน์ใดๆที่ดินดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็น“ที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อประโยชน์ ของแผ่นดินโดยเฉพาะที่ได้เลิกใช้ประโยชน์แล้ว” กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติตามมาต รา 9 ดังกล่าวที่กำหนดให้มีการถอนสภาพการเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยการตร าเป็นพระราชกฤษฎีกาซึ่งหากได้มีการดำเนินการถอนสภา พแล้วที่ดินดังกล่าวก็จะไม่มีสภาพเป็ นที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินอีกต่อไป
และไม่อยู่ภายใต้เงื่อนไขห้ามโอ นกรรมสิทธิ์คืนให้แก่ผู้ยกให้ หรือทายาทของผู้ยกให้ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงฉบับที่ 11ฯ ดังกล่าว
ดังนั้น กรมธนารักษ์จึงมีหน้าที่ตามมาตร า 9 ที่จะต้องพิจารณารวบรวมข้อเท็จจ ริงเกี่ยวกับที่ดินแปลงพิพาทเพื่อเสนอกระทรวงการคลังพิจารณา ดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาถอนสภ าพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิ นการที่กรมธนารักษ์ยังมิได้ดำเนิ นการในกรณีดังกล่าวจึงถือว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้กรมธน ารักษ์เสนอข้อเท็จจริงและความเห็ นไปยังกระทรวงการคลังเพื่อดำเนิ นการตราพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพการ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิ นภายใน45 วัน เพื่อพิจารณาคืนที่ดินราชพัสดุแ ปลงพิพาทให้แก่นายมากต่อไป(อ.152/2555)
คดีที่สอง เจ้าของที่ดินได้อุทิศที่ดินให้ แก่หลวงไปแล้วแต่หลวงได้นำไปใช้ประโยชน์ไม่ตร งตามวัตถุประสงค์ของผู้ยกให้กรณีเช่นนี้ผู้ยกให้หรือทายาทขอ งผู้ยกให้จะมีสิทธิร้องขอคืนได้ หรือไม่ มาดูกันต่อครับ…
ดาบตำรวจมนตรีได้ยกที่ดิน 4 ไร่ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยทำเ ป็นหนังสือระบุข้อความว่า“ยกที่ดินให้กระทรวงการคลัง (เพื่อใช้ประโยชน์ในราชการกรมตำ รวจ)”แต่ก็ยังไม่ได้มีการใช้ประโยชน์ ในราชการกรมตำรวจแต่อย่างใด จนกระทั่ง 5 ปีต่อมา กรมชลประทานจึงได้ขอใช้ที่ราชพั สดุดังกล่าวเพื่อก่อสร้างหัวงาน โครงการชลประทานเขากำขยายโดยกรมธนารักษ์ได้อนุญาตให้กรมช ลประทานเข้าทำประโยชน์ได้
เมื่อดาบตำรวจมนตรีเสียชีวิตลงผู้จัดการมรดกและบุตรของดาบตำรว จมนตรีจึงได้ยื่นคำขอคืนที่ดิ นแปลงดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่าไม่ได้มีการนำไ ปใช้ประโยชน์ในราชการตำรวจตามวั ตถุประสงค์ของดาบตำรวจมนตรีแต่กรมธนารักษ์ได้แจ้งว่าไม่สาม ารถคืนให้ได้เนื่องจากเป็นที่สาธารณสมบัติขอ งแผ่นดินเรื่องจึงขึ้นสู่ศาลปกครองตามระ เบียบครับ !
กรณีนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยว่า การที่ดาบตำรวจมนตรีอุทิศที่ดิน โดยระบุวัตถุประสงค์ว่าเพื่อใช้ประโยชน์ในราชการกรมตำร วจแต่ไม่ได้มีการระบุข้อความที่เป็ นเงื่อนไขว่า เมื่อทางราชการไม่ใช้หรือเปลี่ย นการใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นแล้ วจะต้องคืนที่ดินให้แก่ผู้ยกให้ กรณีจึงเป็นการอุทิศที่ดินให้แก่ ทางราชการโดยไม่มีเงื่อนไขและไม่ ได้คิดมูลค่าอย่างใดตอบแทน ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นที่สาธารณส มบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่ อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ แม้ว่ากรมตำรวจจะไม่ได้ใช้ประโย ชน์ในการก่อสร้างบ้านพักตำรวจตา มเจตนาของดาบตำรวจมนตรีโดยไม่ ได้แจ้งให้ทายาททราบ แต่ที่ดินพิพาทได้ตกเป็นที่สาธา รณสมบัติของแผ่นดินและเป็นที่ ราชพัสดุอันเป็นกรรมสิทธิ์ของกร ะทรวงการคลังโดยมีกรมธนารักษ์เป็นผู้ดูแลบำรุ งรักษา ซึ่งต่อมาได้ยินยอมให้กรมชลประท านเข้าใช้ประโยชน์
โดยการที่จะถอนสภาพการเป็นที่สา ธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะต้องเป็นกรณีที่เลิกใช้ประโยช น์หรือสิ้นสภาพการเป็นสาธารณสมบั ติของแผ่นดินหรือเป็นที่ราชพั สดุที่ทางราชการไม่ประสงค์ จะหวงห้ามอีกต่อไป(มาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518) ดังนั้นเมื่อที่ดินดังกล่าวทางราชการได้ ใช้ประโยชน์อยู่กรณีจึงไม่เข้าเงื่อนไขที่จะถอน สภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่ นดินได้และไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์คืนแก่ผู้ยกให้หรือทายาทของผู้ยกให้ได้นั่นเอง
การที่กรมธนารักษ์และกระทรวงการ คลังไม่ดำเนินการโอนคืนที่ดิ นแก่ทายาทของผู้ยกให้ในกรณีนี้จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายและไม่เ ป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎห มายกำหนด ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกฟ้อง (อ.224/2555)
จากตัวอย่างคดีที่หยิบยกมานี้จะ เห็นได้ว่า…
ที่ดินที่มีการอุทิศให้หลวงแล้ว หากหลวงเลิกใช้ประโยชน์โดยปล่อย ให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า ผู้ยกให้หรือทายาทของผู้ยกให้มี สิทธิร้องขอคืนได้ ส่วนกรณีที่หลวงได้เข้าใช้ประโย ชน์แต่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ของผู้ยก หากมิได้มีการระบุเงื่อนไขอย่าง ชัดเจนว่าถ้ามีการใช้ประโยชน์ไม่ ตรงตามเจตนาของผู้ยกให้ ผู้ยกให้มีสิทธิร้องขอคืนได้ ที่ดินนั้นก็จะถือเป็นที่สาธารณ สมบัติของแผ่นดินที่มีการประโยช น์ และไม่เข้าเงื่อนไขที่จะถอนสภาพ การเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิ นได้ ผู้ยกให้หรือทายาทของผู้ยกให้จึ งไม่อาจขอคืนได้นั่นเองครับ
ขอขอบคุณบทความดีๆของคุณครองธรรม ธรรมรัฐ