ขายฝากคือ

ขายฝากคือ รูปแบบหนึ่งของการทำสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการขายทรัพย์สิน โดยผู้ขายจะขายทรัพย์สินให้กับผู้ซื้อ แต่ยังมีสิทธิที่จะซื้อคืนทรัพย์สินนั้นภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยราคาที่ซื้อคืนจะต้องมีการระบุในสัญญาอย่างชัดเจน
ในกรณีที่ผู้ขายไม่สามารถซื้อคืนทรัพย์สินได้ตามกำหนด ผู้ซื้อจะมีสิทธิ์ในการครอบครองและเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นอย่างถาวร ขายฝากมักใช้ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดินหรือบ้าน โดยที่ผู้ขายยังคงมีสิทธิในการใช้ทรัพย์สินนั้นในระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ จึงเป็นการทำธุรกรรมที่มีความยืดหยุ่นในบางกรณี แต่ต้องมีการทำสัญญาที่ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การขายฝากเป็นการซื้อขายอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖ ซึ่ง ผู้ขายฝากจะเรียกว่าลูกหนี้ก็ได้และผู้ซื้อฝากก็ไม่ใช่ใครอื่นใดก็คือเจ้าหนี้นั่นเอง ทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องทำสัญญาขายฝากตามแบบที่กฎหมายได้กำหนดไว้ว่า ถ้าการขายฝากสังหาริมทรัพย์ธรรมดา จะต้องมีการทำหลักฐานเป็นหนังสือ หรือมีการชำระหนี้บางส่วนไม่ว่าจะเป็นเงินสด หรือส่งมอบสิ่งของก็ได้ หากไม่ทำตามที่กฎหมายกำหนดไว้ คู่สัญญาตามสัญญาขายฝากจะมาฟ้องร้องกันไม่ได้ แต่ถ้าการขายฝากอสังหาริมทรัพย์ คู่สัญญาขายฝากจะต้องทำกันเป็นหนังสือและต้องจดทะเบียนด้วย จะทำเป็นหนังสืออย่างเดียวไม่ได้สำหรับที่ดินต้องจดทะเบียนการขายฝากต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพราะกฎหมายกำหนดไว้อย่างนั้นและเป็นแบบที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย หากไม่ทำตามแบบที่กำหนดก็จะถือว่าการขายฝากที่ดินนั้นตกเป็นโมฆะ
การขายฝาก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๙๑ ได้ให้คำนิยามไว้ว่า อันว่าขายฝากนั้น คือ สัญญาซื้อขาย กรรมสิทธิในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้ จากนิยามที่ว่านี้จะเห็นได้ว่าการขายฝากถือเป็นสัญญาที่ทำให้เจ้าหนี้หรือผู้ซื้อได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน แต่กรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อนั้นยังอยู่กับ”ผู้ขายฝาก” เพราะ”ผู้ขายฝาก”ยังสามารถที่จะไถ่คืนทรัพย์สินหรือที่ดินนั้นได้อยู่เสมอ ภายในกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์สิน ถ้าหากผู้ขายฝากมิได้ไถ่ทรัพย์สินคืนภายในกำหนดระยะเวลาก็จะถือว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นตกเป็นของผู้ซื้อฝากทันที มาดูกันว่าการกำหนดระยะเวลานั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดไว้อย่างไร ในมาตรา ๔๙๒ วรรคแรกว่า ในกรณีที่มีการไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา หรือภายในเวลาที่กำหนด หรือผู้ไถ่ได้วางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ต่อสำนักงานวางทรัพย์ภายในกำหนดเวลาไถ่ ต่อสำนักงานวางทรัพย์ภายในกำหนดเวลาไถ่ โดยสละสิทธิ ถอนทรัพย์ที่ได้วางไว้ให้ทรัพย์สินซึ่งขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาที่ผู้ไถ่ได้ชำระสินไถ่ หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่แล้วแต่กรณี ทั้งนี้เป็นการหมายความว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะกำหนดระยะเวลาไถ่ทรัพย์ขายฝากกันไว้เท่าใดก็ได้ แต่ต้องไม่เกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา ๔๙๔ และมาตรา ๔๙๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งได้บัญญัติไว้ดังนี้มาตรา ๔๙๔ ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลา ดังจะกล่าวต่อไปนี้

 

(1) ถ้าเป็น อสังหาริมทรัพย์ กำหนด สิบปี นับแต่เวลาซื้อขาย
(2) ถ้าเป็น สังหาริมทรัพย์ กำหนดสามปี นับแต่เวลาซื้อขาย

 

อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ในกรณีที่ผู้ซื้อฝากและผู้ขายฝาก ได้มีการตกลงกำหนดระยะเวลาไถ่ทรัพย์สินกันไว้ไม่เกินกำหนดระยะเวลาตามมาตรา ๔๙๔ ผู้ขายฝากและผู้ซื้อฝากก็อาจ ตกลงกันขยายกำหนดระยะเวลาไถ่ทรัพย์สินได้ แต่เมื่อรวมกำหนดระยะเวลาไถ่ทรัพย์สินตามที่ตกลงกันไว้แต่เดิมและกำหนดระยะเวลาที่ตกลงทำการขยายระยะเวลานั้น จะต้องไม่เกินกำหนดระยะเวลาไถ่ทรัพย์สินตามมาตรา ๔๙๔ ดังกล่าว และสาระสำคัญอีกประการหนึ่งของสัญญาการขายฝาก คือ ผู้ขายฝากและผู้ซื้อฝากต้องกำหนดสินไถ่วันไว้ในสัญญาขายฝากนั้นด้วย ในกรณีที่มิได้กำหนดสินไถ่กันไว้ ศาลฎีกาท่านได้วางหลักไว้ว่าสินไถ่เท่ากันราคาตามที่ได้ขายฝากกันไว้เท่านั้น

 

ความหมายของการขายฝาก
๑. ความหมาย สัญญาขายฝากเป็นสัญญาซื้อขายซึ่งสิทธิแห่งความเป็นเจ้าของ ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อตกลงในขณะทำสัญญาว่า ผู้ขายมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนได้ภายในกำหนดเวลาเท่าใด แต่ต้องไม่เกินเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น ขายที่ดินโดยมีข้อตกลงว่า ถ้าผู้ขายต้องการซื้อคืน ผู้ซื้อจะยอมขายคืนเช่นนี้ถือว่าเป็นข้อตกลงให้ไถ่คืนได้ ตัวอย่าง นายแดงนำสวนทุเรียนไปขายกับผู้ใหญ่มา โดยมีข้อตกลง ในขณะทำสัญญาว่า ผู้ใหญ่มา ยินยอมให้นายแดงไถ่ที่ สวนทุเรียนนั้นคืนได้ภายในกำหนด ๑ ปี นับแต่วันที่ซื้อขายที่สวนกัน สัญญาชนิดนี้เรียกว่า สัญญาขายฝาก ข้อตกลงที่ว่า ” ผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์คืนได้ ” ข้อตกลงนี้จะต้องมีขึ้นในขณะที่ทำสัญญาซื้อขายกันเท่านั้น ถ้าทำขึ้นภายหลังจากที่ได้ทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว สัญญาดังกล่าวไม่ใช่สัญญาฝากขาย แต่เป็นเพียงคำมั่นว่าจะ ขายคืน เท่านั้น

 

๒. ทรัพย์สินที่สามารถขายฝากได้ ทรัพย์สินทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม เช่น ที่ดิน ที่สวน ไร่นา บ้าน รถยนต์ เรือ เกวียน ฯลฯ ย่อมสามารถ ขายฝากได้เสมอ

 

๓. แบบของสัญญาขายฝาก

 

( ๑ ) ถ้าเป็นการขายฝากอสังหาริมทรัพย์ ( คือ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ) เช่น ที่ดิน ที่นา บ้าน ฯลฯ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่ เป็นที่ดินต้องจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ถ้าเป็นบ้านก็ จดทะเบียนต่อ ที่ว่าการอำเภอที่บ้านนั้นตั้งอยู่ ถ้าไม่ทำตามนี้แล้ว ถือว่าสัญญาขายฝากนี้เสียเปล่า เป็นอันใช่ไม่ได้ เท่ากับว่า ไม่ได้ทำสัญญากันเลย
ตัวอย่าง นายทุเรียนต้องการขายฝากที่ดิน ๑ แปลง แก่นายส้มโอ ก็ต้องทำสัญญา ขายฝากที่ดินและจดทะเบียนการขายฝากที่ดินนี้ ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ถือว่าสัญญาขายฝาก รายนี้เสียเปล่าใช้ไม่ได้มาตั้งแต่แรก

 

( ๒ ) ถ้าเป็นการขายฝากสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ( คือ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ เป็นพิเศษว่าจะต้องทำเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ ) เช่น แพ เรือยนต์ สัตว์พาหนะ ฯลฯ ต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยเรือจะต้องจดทะเบียนที่ กรมเจ้าท่าสัตว์พาหนะและแพจะต้อง จดทะเบียนที่อำเภอ ถ้าไม่ทำตามนี้แล้วถือว่าสัญญาขายฝากจะเสียเปล่า ใช้บังคับไม่ได้เลย

 

( ๓ ) ถ้าเป็นการขายฝากสังหาริมทรัพย์ชนิดธรรมดา ( คือ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้แต่กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ว่า ต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ) ที่มีราคาตั้งแต่ ๕๐๐ บาทขึ้นไป เช่น รถยนต์ ตู้เย็น แหวน สร้อย นาฬิกา โทรทัศน์ ฯลฯ การขายฝากชนิดนี้ ต้องมีหลักฐาน เป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบเป็นสำคัญ หรือต้องมีการวางมัดจำหรือจำต้องมีการชำระหนี้บางส่วน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าไม่ทำตามนี้แล้วกฎหมายถือว่า สัญญาขายฝากรายนี้ต้องห้ามมิให้มีการฟ้องร้องบังคับคดี

 

๔. ข้อตกลงไม่ให้ผู้ซื้อฝากจำหน่ายทรัพย์สินที่ขายฝาก ในการตกลงฝากคู่สัญญาจะตกลงกันไม่ให้ผู้ซื้อฝาก จำหน่ายทรัพย์สิน ที่ขายฝากก็ได้ แต่ถ้าผู้ซื้อฝากฝ่าฝืน ข้อตกลงที่กำหนดในสัญญาโดยนำทรัพย์สินที่ขายฝากไป จำหน่ายให้ผู้อื่น ผู้ซื้อฝากจะต้องรับผิดชดใช้ ความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ขายฝาก

 

๕. กำหนดเวลาในการไถ่ทรัพย์สินคืน
( ๑ ) ถ้าเป็นการขายฝากอสังหาริมทรัพย์ ต้องกำหนดเวลา ในการใช้สิทธิไถ่คืน ไม่เกิน ๑๐ ปีนับแต่วันที่มีการซื้อขายฝากกัน แต่ถ้าไม่ได้กำหนดเวลาในการไถ่เอาไว้ หรือกำหนดเวลาไว้เกินกว่า ๑๐ ปี กฎหมายให้ลดเวลาลงเหลือแค่ ๑๐ ปีเท่านั้น

 

( ๒ ) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษและชนิดธรรมดา ต้องกำหนดเวลาไถ่คืนไม่เกิน ๓ ปีนับแต่วันที่มีการซื้อขายกัน แต่ถ้าไม่ได้ กำหนดเวลาในการไถ่คืนเอาไว้ หรือกำหนดเวลาไว้เกินกว่า ๓ ปี ให้ลดเวลาลงเหลือ ๓ ปี เท่านั้น กฎหมายกำหนดไว้ว่า กำหนดเวลาไถ่นั้น อาจทำสัญญาขยายเวลาไถ่ถอนได้ กำหนดเวลาไถ่ถอนทรัพย์สินที่ขายฝากนั้น เดิมกฎหมายไม่อนุญาตให้ขยายเวลา แต่กฎหมายในปัจจุบัน ( ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๑ ) อนุญาตให้ขยายเวลาได้ โดยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของผู้รับไถ่ ส่วนทรัพย์สินที่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น ที่ดิน บ้าน เป็นต้น การขยายเวลาไถ่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ดีระยะเวลาที่ขยายไปจะต้องไม่เกินเวลา ที่อาจไถ่ทรัพย์ได้ ตาม ( ๑ ) หรือ ( ๒ )

 

๖. สินไถ่ ตามกฎหมายเดิม สินไถ่จะกำหนดไว้เท่าไรก็ได้ตามแต่จะตกลงกัน ซึ่งทำให้การกำหนดสินไถ่เป็นช่องทางให้ผู้ซื้อฝากคิดประโยชน์ ตอบแทนได้สูงกว่าการให้กู้โดยปกติ ซึ่งกฎหมายควบคุมการเรียกอัตราดอกเบี้ยไว้ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี แต่กฎหมายในปัจจุบัน ( พ.ศ. ๒๕๔๒ ) สินไถ่ถ้าไม่กำหนดกันไว้จะไถ่ได้ตามราคาขายฝาก แต่ถ้าสินไถ่นั้น กำหนดกันไว้ กฎหมายจำกัดการกำหนดสินไถ่ว่าจะต้องไม่เกิน ราคาขายฝากรวมกับประโยชน์ตอบแทนร้อยละ ๑๕ ต่อปี เช่น ทรัพย์ที่ขายฝากไว้ราคา ๑๐,๐๐๐ บาท กำหนดเวลาไถ่ ๑ ปี สินไถ่ที่จะตกลงกันต้องไม่เกิน ๑๑,๕๐๐ บาท ถ้าตกลงเกินกว่านั้น ผู้ขายฝากสามารถขอไถ่ได้ในราคา ๑๑,๕๐๐๐ บาท ในกรณีที่ครบกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์ถ้าผู้ซื้อฝากไม่ยอมรับไถ่ ผู้ขายฝาก มีสิทธิวางเงินสินไถ่ต่อสำนักงานวางทรัพย์ได้ และมีผลให้ทรัพย์ที่ขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ขอไถ่ทันที

 

 

ที่มา:กรมที่ดิน
♥การทำสัญญาขายฝากทุกครั้ง ท่านควรจะอ่านสัญญา ให้เข้าใจ และ ควรจะทำที่สำนักงานกรมที่ดินเท่านั้น สัญญาขายฝากก็ต้องเป็นสัญญาที่กรมที่ดินออกให้เท่านั้นนะค่ะ♥

 


Similar Posts